i1 Display Pro Review

i1 DisPlay Pro

i1 DisPlay Pro

วิธีการคาลิเบรทจอภาพด้วย i1 Display Pro ขั้นสุด (Advanced) ฉบับปี 2016

ผมเคยเขียนรีวิวเครื่องคาลิเบรทจอ i1 Display Pro ไว้ตั้งแต่ปี 2012 ตอนออกใหม่ ๆ
ปัจจุบัน (7-2016) เจ้า i1 ตัวนี้ผมก็ยังใช้อยู่ และ คิดว่ายังเป็นตัวคาลิเบรทจอ ราคาไม่ถึงหมื่น ที่ดี่ที่สุด ในท้องตลาด
เลยจะมาอัพเดทการใช้งานแบบเจาะลึก สำหรับการคาลิเบรทจอ ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ครับ

มาเริ่มจากแกะกล่องกันเลย

Eyeone DisPlay Pro

 

รุ่นนี้ตัวกล่องจะสีดำล้วน ภายในจะมี

  • ตัว Colorimeter i1DisplayPro มีสาย USB ติดมาในตัวพร้อมลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักปรับเลื่อนได้บนสาย ไว้ใช้ตอนแขวนที่จอ
  • CD โปรแกรม
  • คู่มือ

 

ด้านข้างกล่อง

ด้านข้างกล่องจะระบุว่า สามารถคาลิเบรทจอ Monitor , วัดแสง Ambient ของห้องทำงานเรา และ คาลิเบรทจอภาพ Projector ได้

คาลิเบรทจอภาพ Projector

 

ก่อนจะเริ่มใช้งานให้เราไปดาวโหลดซอฟแวร์ i1Profier ตัวล่าสุดมาติดตั้งก่อน
โดยไปที่ http://xritephoto.com/i1display-pro
แล้วคลิ๊กที่แทป Support ตามภาพด้านล่าง วันนี้โหลดนี้ (30-07-2016) i1Profier เป็นเวอร์ชั่น 1.6.6
เมื่อดาวโหลดมาติดตั้งในเครื่องให้เสร็จ แล้ว Restart คอมพิวเตอร์ก่อน 1 ครั้ง

ดาวโหลดซอฟแวร์ i1Profier (Version ล่าสุดอาจเปลี่ยนแปลงได้)

 


หลังรีสตาร์ทเสร็จเรียบร้อย ให้เสียบสาย USB ของตัว i1 เข้ากับคอมพิวเตอร์ก่อน
ค่อยเปิดโปรแกรม i1 Profier ขึ้นมา รอสักพัก ถ้าโปรแกรมเห็นตัว i1 จะมีเครื่องหมายถูกแสดงขึ้นมา(ตามภาพด้านล่าง)
...ถ้าไม่ขึ้น อาจเกิดจาก เราเปิดโปรแกรมก่อนเสียบสาย USB
หรือไม่ก็ port ที่เราต่อนั้นกำลังไฟอ่อน ให้ลองย้าย port ที่เสียบดูครับ

*** ก่อนคาลิเบรทจอ ควรเปิดจอภาพทิ้งไว้อย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้จอแสดงผลได้นิ่งก่อน***

เมื่อจอพร้อมเริ่มการคาลิเบรทจอกันได้โดยเริ่มจาก

คลิ๊กที่ปุ่ม Advanced (1.)

แล้วไปคลิ๊กที่แทป Profiling (2.)

หน้าต่าง Home โปรแกรม i1DisplayPro

หมายเหตุ: บทความนี้จะอธิบายเฉพาะโหมด Advanced แบบละเอียด

 

หน้าต่าง DisPlay Settings

Display Setting


1. ให้เลือกจอภาพที่จะคาลิเบรท

(ในภาพคอมฯผมต่อไว้ 2 จอ ต้องเลือกแคลทีละจอ) คลิ๊กที่ไอคอนรูปจอที่ต้องการจะคาลิเบรท

 

2. เลือกชนิดของจอ

(Technology type) ที่จะคาลิเบรทว่าเป็นแบบไหน

 

Technology type

จอภาพที่ใช้งานกันปัจจุบัน ส่วนมากจะเป็นจอแบน LCD (Liquid Crystal Display)
แต่จะมีชนิดของไฟส่องหลังจอฯ (backlight) อยู่หลายแบบ

เริ่มจากแบบแรกคือ

หลอดฟลูออเรสเซ็นต์ CCFL (Cold-Cathode Fluorescent)

ยุคถัดมาก็เป็น White LED

ดีขึ้นมาอีกก็เป็น RGB LED

ล่าสุดคือ GB-LED

ควรเลือกชนิดของหลอดไฟส่องหลังจอฯ (backlight) ให้ตรง เพื่อให้การแคลได้ประสิทธิภาพสูงสุด
หมายเหตุ : เรื่องจอภาพ อ่านเพิ่มเติมได้ที่  แนะนำการเลือกซื้อจอ Monitor สำหรับงานภาพถ่าย

ถ้าไม่ทราบ Type ของจอ ให้เลือกค่าทั่วไป Generic

จอ Monitor สำหรับ PC ที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดปัจจุบัน เกือบทั้งหมดจะเป็นแบบ White LED

สำหรับ Mac ใช้เช็คเสป็คกับเว็บไซด์โดยตรงดูว่าเป็นรุ่นไหน

แต่เท่าที่ผมจำได้ Mac (MB, MBP, iMac) ถ้าเป็นซีพียูรุ่น Core2Duo ให้เลือก CCFL
ถ้าเป็นซีพียูรุ่นคอร์ i3, i5 ,i7 ขึ้นไปจนถึงรุ่นปัจจุบัน ให้เลือก White LED

ถ้าใช้จอ Monitor พวก Wide Gamut (AdobeRGB) ให้เช็คเสป็คจากผู้ผลิตก่อน ว่าเป็น RGB-LED หรือ GB-LED

สำหรับจอที่ผมเคยใช้ EIZO CG277 , DELL U2413, U2713H, UP2516D, UP2716D เลือกเป็น

 


3. เลือกค่าจุดขาว หรือ อุณหภูมิแสงสีขาว ที่สว่างสุดของจอ (White Point )

White Point

 

ปกติโดยทั่วไปจะแนะนำให้ตั้งที่ D65 (6500 K) สำหรับงาน Photo งานกราฟฟิค งานเว็บ อินเตอร์เน็ท
ถ้าเราต้องการตั้งที่ค่าอื่น ให้เหมาะกับระบบของเรา ก็สามารถเลือกได้ เช่น งานสื่งพิมพ์ 5000K เป็นต้น
หรือจะตั้งที่ Native ซึ่งเป็นค่า White Point ดั้งเดิมของจอเราก็สามารถเลือกได้
(จอแบบบ้าน ๆ เลือกแบบ Native อาจได้ผลดีกว่าไปบังคับ WP จอไปที่ 6500 K)

 

4. ค่าความสว่าง ( Luminance ) หรือที่เรียกว่าค่า Brightness

 

ปกติโดยทั่วไป ถ่้าเราทำงานในห้อง เค้าจะแนะนำไว้ที่ 120 cd/m (candelas per square meter)
แต่ค่าที่ใช้ในการเขียนบทความนี้ ผมตั้งที่ 100

สมมติถ้าเราทำงานเพื่อปริ๊นท์ ตั้งจอที่ 120 แล้ว รูปที่ปริ๊นท์ออกมาดูมืดหรือสว่างไป
เพราะแสงในห้องเรามืดหรือสว่างกว่าปกติ ก็ให้ปรับค่า Luminance เพิ่มหรือลดตามไปได้
ไม่จำเป็นต้อง 120 เสมอไป แต่ไม่ควรต่ำกว่า 80

 

5. Contrast Ratio ค่าอัตราส่วนความเปรียบต่างระหว่างมืดสุดกับสว่างสุด

Contrast Ratio

 

ถ้าไม่เข้าใจว่าควรเลือกค่าไหน ก็เลือก Native ไปก่อน

- ค่าตามมาตรฐาน ICC คือ 287 : 1
จอทั่วไปปกติถ้าเลือก Native ค่าคอนทราสจะสูงกว่านี้ เท่าที่ผมลองกับจอ Samsung จะอยู่ที่ 896 :1 ,
จอ Dell UP2716D อยู่ที่ประมาณ 1000 : 1
(ตัวเลขสูง คอนทราสยิ่งจัด)

ในโน๊ตบุครุ่นราคาประหยัด ผมเคยเจอได้ค่า Contrast Ratio ประมาณ ร้อยกว่า
แนะนำว่าค่านี้ไม่ควรต่ำกว่าค่าของ มาตรฐาน ICC สำหรับทำงานแบบมืออาชีพ

 

6. Flare Correct แก้ชดเชยแความแฟลร์ของจอ

Flare Correct

 

ถ้าจอ Monitor เรามีการติด Hood เพื่อกันแสงรอบข้างมาตกที่ผิวจอ ก็ไม่ต้องเลือกครับ
ฟังค์ชั่นนี้เค้าออกแบบมา ให้ใช้กับจอที่ไม่มี Hood 

*** แนะนำว่า ควรจะหาฮูดมาติดหน้าจอเพื่อกันแสงรบกวนรอบข้าง ดีกว่าครับ

 

Recommended Lighting

 

การวัดแสงแฟลร์

 


7. Ambient Light Smart Control

สภาพแสงที่เหมาะแก่การดูภาพ คือ ต้องมีกล่องไฟเฉพาะสำหรับดูภาพ จอภาพต้องมีHood บังรอบจอ
และ แสงในห้องต้องคงที่ และ ไม่สว่างมากไป (ตามภาพ )

 

Recommended Lighting


ภาพบน สภาพแสงที่แนะนำในการทำงาน

 

Poor Lighting


สภาพแสงที่ไม่เหมาะสม แสงจากโคมไฟ จะมารบกวนการแสดงผลของจอภาพ (ที่ไม่มีฮูด)

สภาพโดยทั่วไป แบบบ้าน ๆ น่าจะเป็นแบบภาพข้างล่าง คือ มีหลายต้นกำเนิดแสงปนกัน
หรือมีแสงหน้าต่างที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ฝรั่งเรียก Poor Lighting

จอภาพตั้งติดหน้าต่างที่มีแสงเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน

 

สภาพแสงผสม จากแสงหลอดไฟเพดานผสมกับแสงแดดภายนอก


ถ้าสภาพแสงห้องเราเป็นแบบข้างบน ให้ติ๊กเลือก Ambient Light Smart Control

ถ้าเราเลือกฟังก์ชั่นนี้ ต้องต่อตัว i1 ไว้กับคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา

 

Ambient Light Smart Control

เมื่อตั้งในหน้า Display Setting เสร็จแล้ว ในกดปุ่ม Next มุมขวาล่าง เพื่อไปหน้าถัดไป

 

 

หน้า Profile Settings

 

ปกติให้เลือกค่า Default ตามที่โปรแกรมตั้งมา กด Next ไปหน้าถัดไป

 

หน้า Patch Set

Patch Set

 

เลือกจำนวน Patchสี ที่จะใช้ในการคาลิเบรท มีให้เลือกตั้งแต่

Small 119 patch

Medium 220 patch

Large 478 patch

ถ้าเลือก จำนวน Patch มาก ก็จะใช้เวลาในการคาลิเบรท มากขึ้น จากประมาณ 3 นาทีถึง 10 นาที
แต่ก็จะทำโปรไฟล์ได้ละเอียดขึ้นตามไปด้วย

 

หน้า Measurement

 

สำหรับจอ Mac ให้กดเลือก Automatic Display Control

โดยโปรแกรม จะปรับค่าความสว่างให้เองอัตโนมัติ ตอนคาลิเบรท

จอทั่วไปให้กดเลือกปรับเอง Adjust Manually

เรียบร้อยกดปุ่ม Start Measuremment

Display Hardwares Setup

 

ในหน้านี้ จะมีที่ให้ติ๊ก 3 จุด คือ Contrast , RGB Contrast, Brightness

 

จอทั่วไปที่เป็น White LED ให้เลือก 2 จุดคือ Contrast กับ Brightness
จอ Notebook พีซี ให้เลือก Brightness อย่างเดียว
จอที่มีหลอดไฟส่องจอ (Backlight) แบบแยก ให้เลือกทั้ง 3 จุด


ก่อนที่จะไปต่อ ผมแนะนำให้เซ็ทค่าเบื้องต้นที่จอตามนี้ก่อน

1. เซ็ท Contrast ไปที่ 100

2. เซ็ท Brightness ไปที่ 30

 

หมุนฝาตัวi1 พลิกกลับมาอีกด้าน

 

 


วางตัว i1 ไว้กึ่งกลางจอภาพ ปรับตุ้มถ่วงน้ำหนักบนสาย ให้แขวนได้พอดี เช็คว่าตัว i1 แนบสนิทกับจอ อย่าให้เผยอ
แนะนำว่า ไม่ควรมีแสงสว่างจากภายนอกรอบ ๆ จอ มารบกวนตัววัดเวลาคาลิเบรทจอ หรือ ไม่แน่ใจก็หาวัสดุมาบังแสง
ที่จะส่องมากวนหน้าจอไว้ก่อน ผมเองบางทีก็เอาผ้าดำ มาคลุมจอไว้เลยครับตอนแคลที่สว่าง ๆ

 

การปรับแบบ Manual อันดับแรก จะให้เราปรับ Contrast ก่อน
ผมได้บอกล่วงหน้าไว้แล้วว่า ให้ปรับค่า Contrast ของจอไว้ 100 ก่อน กด Next

 

โปรแกรมจะเริ่มทำการวัดค่า Contrast ปรับให้ได้ค่าใกล้ขีดตรงกลางมากที่สุดครับ เรียบร้อยก็กด Next

 

ตัวอย่างจอภาพที่สามารถปรับ Gain RGB ได้


ต่อมาก็จะเป็นการปรับค่า Gain R G B ให้ได้ตาม White Point ที่เรากำหนดไว้ทีแรก
เช่น 6500 K เราก็ปรับไล่ค่า RGB ที่จอภาพ ทีละตัวจนได้ค่าใกล้เคียงมากที่สุด กด Next

 

White Point Adjustment

 

สุดท้าย จะเป็นการปรับค่าความสว่างของจอ Brightness ตามที่เราตั้งไว้

 


ในภาพผมตั้ง target ไว้ 100 ก็ปรับให้ได้ใกล้เคียงที่สุด กด Next

ต่อมาโปรแกรมจะเริ่มทำการคาลิเบรท โดยแสดง Patch สี ตามจำนวนที่เราตั้งไว้ไล่ไปทีละสี
ตัว i1 ก็จะวัดค่าไปเรื่อย ๆ จนครบ ขึ้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 3-10 นาที

 

 

หมุนฝากลับด้าน

เมื่อวัดเสร็จแล้ว โปรแกรมจะขึ้นหน้าจอให้หมุนปิดฝากลับด้าน

 

หน้าต่างโชว์ว่าวัดค่าสีครบแล้ว


แล้วจะขึ้นหน้าจอ Patch สี โชว์ว่าวัดค่าหมดครบแล้ว ให้เรากด Next

 

หน้าต่างนี้จะให้เราตั้งชื่อ icc Profile ที่เราพึ่งคาลิเบรทเสร็จ ควรตั้งชื่อ ให้มีความหมายที่เข้าใจว่า
เซ็ทค่าอะไรไว้บ้าง และ ปี-เดือน-วัน ที่คาลิเบรท เรียบร้อยกด Create and save profile

 

หน้าต่างนี้จะโชว์ผลลัพธ์การคาลิเบรท ระหว่างค่า Target ที่เซ็ทไว้ เทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ (Achieved)

 

Curve

จะมีหน้าต่างแสดงผลหลาย ๆ ค่าให้ดูครับ คลิ๊กที่ปุ่มสัญลักษณ์เล็ก ๆ ด้านบนไล่ดูไปครับ

ค่า Curve การปรับค่าสี RGB ถ้าจอที่ดีที่สามารถปรับ Gain RGB แยกได้ เส้น curve จะใกล้ ๆ เกือบทับกันพอดี
แต่ถ้าเป็นจอแบบ White LED เส้น Curve สีน้ำเงินจะถูกกดลงต่ำมาก เพราะจอจะอมสีฟ้ามาก

ค่า Curve จากการทำ Hardware Calibrate

 

สำหรับจอดี ๆ ที่มีโปรแกรมเฉพาะให้มา ที่สามารถทำ Hardware Calibrate ได้
เส้น Curve จะเท่ากันเป๊ะทั้งสามสี เพราะโปรแกรมจะไปปรับเกน RGB ในจอโดยตรงเลย

 

หน้าต่างสำหรับเทียบสีรูป ระหว่างก่อนกับหลังคาลิเบรท จะมีรูปให้ดูเป็นสิบ ๆ ไล่ทีละเฉดสี รวมขาวดำ 3 โทน
และ รูปสีรวมแบบรูปนี้ เมื่อดูเป็นที่พอใจก็กดปุ่ม Home เพื่อกลับมาหน้าหลัก
เป็นการเสร็จสิ้นการคาลิเบรทจอนี้

 

 

ต่อมา เราจะมาเช็คผลการคาลิเบรทกัน โดยคลิ๊กที่ Quality

 

โปรแกรมจะเช็คคุณภาพการคาลิเบรท โดยเทียบกับค่าคัลเล่อชาร์ท Gretag macbeth Classic 24 สี

 

กด Start Measurement

 

เมื่อวัดเสร็จ จะโชว์หน้าต่างเทียบสีตามช่องก่อน-หลังตามภาพ ให้กด Next

 

 

หน้าต่างนี้จะแสดงผลลัพธ์ที่วัดเปรียบเทียบได้ เป็นค่า เดลต้า-อี หรือค่าความคลาดเคลื่อน

ให้ดูตรงช่องรวมคือ ค่าเฉลี่ย All Patches ว่าได้ค่ารวมเท่าไหร่

 

มาตรฐานสำหรับจอใช้งานด้านภาพ แนะนำว่าค่า Delta-E ควรต่ำกว่า 2 คือได้ 1 จุดกว่า ๆ ลงมา

ถ้าสูงกว่า 2 คือ 2. กว่า ๆ ขึ้นไป ไม่เกิน 3 คือพอรับได้

ถ้า 3 ขึ้น ควรเอาไปใช้งานอย่างอื่น ที่ไม่ใช่ทำรูป

ถ้าต่ำกว่า 1 คือได้ 0.-- คือว่าเป็นจอที่ดีเยี่ยม

 

 

ถัดมา เราจะมาวัดค่าความสม่ำเสมอ ของแสงของจอภาพ Uniformity

 

โปรแกรมจะทำการวัดทั้งหมด 9 จุด ตามภาพ กดเลือกจอที่ต้องการวัด

 

โปรแกรมจะทำการวัด ไล่ไปจากมุมซ้ายบน ให้เราเอาตัว i1 ไปวางไว้ตามตำแหน่งที่แสดง
โดยใช้วิธีถือเอาแทนการแขวน เพื่อความสะดวกในการวัด วัดไล่ไปจนครบ 9 จุด

 

เมื่อวัดเสร็จแล้ว จะแสดงผลค่าความสว่างทั้ง 9 จุด ตามภาพ ซึ่งตรงกลางจะเท่ากับที่เราตั้งไว้
จุดอื่น ๆ ก็จะมากกว่า น้อยกว่า ไปตามสภาพ

 

หน้าต่างนี้จะแสดงภาพรวม ถ้าขึ้นสีเขียว แปลว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

 

Uniformity ของจอ EIZO CG277

รูปด้านบนนี้เป็นการวัดค่า Uniformity ของจอ EIZO CG277 จะสังเกตุว่า ค่าที่ตั้งไว้ 120 ตรงกลาง
มุมขอบ ๆ ทุกด้านก็เกือบจะเท่าตรงกลางเป๊ะ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมจอนี้ราคาถึงเป็นหลักแสน
และ ถือเป็นจอระดับเรือธง ที่ไว้ใช้เทียบมาตรฐานกับจออื่น ๆ ครับ


แถมอีกรูป : ค่า เดลต้า-อี เฉลี่ย ที่ได้จากจอ EIZO CG277 ที่ใช้ i1 DisPlayPro ในการคาลิเบรท ร่วมกับโปรแกรมของ EIZO เอง

 

ได้ค่า Delta-E Average = 0.27 มันต่ำมาก!

 


ช่วง ถาม -ตอบ

ถาม : i1 Display Pro เมื่อเทียบกับ i1 Pro หรือ i1 Pro2 ที่เป็น Spectrophotometer
ที่คาลิเบรทได้ทั้งจอภาพ และกระดาษ ราคาหลักสี่ห้าหมื่น จะคาลิเบรทจอได้ผลดีกว่าไหม?

ตอบ : ผมเคยเอามาคาลิเบรท เปรียบเทียบดูแล้วครับ สำหรับการคาลิเบรทจอภาพ ไม่มีตัวไหนดีกว่า i1 DisPlay Pro

 

ถาม : ถ้าใช้คอม Mac แล้วอยากใช้จอ Wide Gamut ที่แสดงสีได้ถึง AdobeRGB จะทำยังไงได้บ้างครับ

ตอบ : วิธีที่ 1. สำหรับคนใช้โน๊ตบุค MBP ก็ซื้อจอ Monitor มาต่อกับ MBP ผ่านพอร์ท miniDP หรือ ที่แม็คเรียกว่า Thunderbolt ครับ

วิธีที่ 2. ซื้อ Mac Pro แล้วซื้อจอ Monitor แบบ Wide Gamut มาต่อผ่านพอร์ท Thunderbolt ครับ

 

ถาม : ทำไมหาซื้อตัว i1 Display Pro ไม่ได้เลยครับ?

ตอบ : ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ได้หยุดนำเข้ามาเป็นเวลาร่วมปีแล้วครับ ข่าวว่า อาจะมีตัวแทนรายใหม่เร็ว ๆ นี้ แต่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน
ผมเองก็เพิ่งสั่งซื้อมาใหม่อีกตัวได้ไม่นาน ตอนนี้ที่สั่งสะดวก ๆ ก็มีเว็บ Amzon กับ B&H สั่งแล้วส่งถึงหน้าบ้านเลยครับ

 


...............
บทความนี้เป็นบทความที่ยาวมาก ยาวที่สุดตั้งแต่เขียนมา ใช้เวลาไป 3 วัน หวังว่าทุกท่านที่สนใจในการคาลิเบรทจอ
ให้แสดงผลได้มาตรฐาน จะได้รับประโยชน์กันบ้างนะครับ


ขอบพระคุณที่อ่านจนจบ :)

ปล. ถ้ามีเวลาและโอกาส จะมาเขียนเรื่องการทำ Hardware Calibrate ให้อ่านกันอีกนะครับ


เขียนที่บ้าน
31-07-2016
สมชายการช่าง

........................
หมายเหตุ : บทความนี้ เขียนเพื่อให้ความรู้เป็นวิทยาทาน สามารถแชร์ได้ตามสะดวก
แต่ไม่อนุญาติให้ก๊อปปี้แล้วไปแปะตามเว็บอื่นๆ หรือเอาไปแก้ไขดัดแปลงแล้วใส่ชื่อตัวเองแทน

Dell UP2716D Review

Dell UP2716D

Dell UP2716D

รีวิว จอ DELL UP2716D (สี 100% AdobeRGB)

สวัสดีครับทุกท่าน
ไม่ได้เขียนรีวิวมานาน วันนี้จะมารีวิวแนวแนะนำ จอรุ่นใหม่ล่าสุดของ เดล

DELL UltraSharp 27 Monitor | UP2716D

ผมได้จอมาลองใช้ได้ 4-5 วันแล้ว ตัวจอแกะไปเทสต์ใช้งานตอนที่มาส่ง ใส่ Hood ไปแล้ว
เลยขอข้ามรีวิวแบบแกะกล่อง Unbox ไป มาชมหน้าตากล่องก่อนเลย

กล่องด้านหน้า

 

จอรุ่น UP2716D นี้ออกมาทดแทนจอรุ่น U2713H (ที่ผมใช้มาก่อน)ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2013 ส่วนจอรุ่น UP2716D
เพิ่งออกวางจำหน่ายได้ไม่กี่เดือนครับ (2016)


UP ย่อมาจาก UltraSharp PremierColor ในซีรีย์นี้มี

รุ่น UP2716D จอขนาด 27 นิ้ว (มาแทน U2713H)
รุ่น UP2516D จอขนาด 25 นิ้ว (มาแทน U2413)

ซึ่งเสป็คเหมือนกันทุกอย่าง

โดยซีรีย์ UP นี้แสดงสีได้กว้างขึ้นจากรุ่นเดิมที่ทำได้ 99 % มาเป็น 100% AdobeRGB

(Covering 100% of the Adobe RGB, 100% of the sRGB, 100% of the REC 709, and 98% of the DCI-P3 color spaces)

เทียบกล่องรุ่นก่อน กับรุ่นใหม่

 

กล่องรุ่นนี้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนมาก ขนย้ายสะดวกขึ้น และน้ำหนักจอก็เบาขึ้นด้วย เปลี่ยนจากกระดาษ
มาเป็นสีขาวพร้อมสกรีนรูปจอสี่สี่สวยงามครับ

เปรียบเทียบขนาดกล่อง

 

รายละเอียดบนกล่อง

จอมีขนาด 27 นิ้ว (68.5 cm.)

ความละเอียด QHD 2560x1140 พิกเซล มุมมอง 178/178 องศา ซัพพอร์ท 100% AdobeRGB

จอได้รับการคาลิเบรทมาจากโรงงาน แจ้งว่ามีค่าความคลาดเคลื่อนสี DeltaE ต่ำกว่า 2

 

พอร์ทการเชื่อมต่อ มี

DP

mDP

2 x HDMI (MHL)

4 x USB3 with one charging port

2 x USB3 upstream

 

ขนาดของจอ บางลงกว่ารุ่นก่อนมาก เหลือเพียง 7.35 mm.

 

Color Calibration Factory Report

Color ใบรับรองการคาลิเบรทจากโรงงานมีระบุเลข serial ของจอเราด้วย

 

หน้าตาจอด้านหน้า ที่ผมใช้เป็นจอหลักในการทำงาน ใส่ Hoodบังแสง+วางลำโพงประกบไว้ข้างซ้าย-ขวา

 

Preset Modes ที่มีมาให้พร้อมใช้งานไประเภทต่างๆ สำหรับโหมด Custom Color
ที่โชว์อยู่เกิดจากผมได้ทำการ calibrate จอไว้แล้ว จึงเลือกอยู่โหมดนี้

 

โหมดสี คาลิเบรทมาจากโรงงาน มีมาให้สำเร็จ แล้วแต่เราจะเลือกใช้งาน จะให้แสดงสีแบบ AdobeRGB , sRGB , REC709, DCI-P3
ก็เลือกได้เลย สำหรับโหมด Cal1 กับ Cal2 จะได้มาจากการคาลิเบรทกับ i1Pro ผ่านโปรแกรมาเฉพาะของ Dell เอง
(ก็ให้ บ. xrite ที่ขาย i1 ทำให้เหมือนกันครับ แต่จะเป็นการแคลแบบ Hardware Calibrate
แคลเสร็จจะมีค่าไปฝังในจอเลย ไม่ต้องรันผ่านโปรแกรม)

 

จุดต่อสายด้านหลัง ผมต่อไว้สามเส้น สายไฟ สายสัญญาณ DP และสาย USB upstream

 

มาดูเสป็คกันบ้าง

ขนาด 27 นิ้ว
จอใช้ Panel ของ LG แบบ AH-IPS (Advanced High Performance In-Plane Switching)
ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล
ความสว่างสูงสุด 300 cd/m²
แสดงสีได้ 1.07 พันล้านสี (จอปกติได้ 16.7 ล้านสี)
มุมมองกว้าง 178º แนวนอน, 178º แนวตั้ง
คอนทราส เรโช : 1,000:1

รีเฟรช เรท : 60Hz
หลอดไฟ Backlight เป็นแบบ GB-LED
(ที่ทำให้กามุตสีกว้างกว่าจอปกติทั่วไป ที่ใช้หลอดไฟBacklight แบบ White LED)

ขนาดพิกเซล 0.2331 mm x 0.2331 mm
การโค๊ทผิวจอ Anti-Glare with 3H hardness
ผิวจอเป็นแบบกึ่งมันกึ่งด้านเพื่อลดการสะท้อนแสง แต่ให้คอนทราส ที่ดีและสูงพอๆกับจอผิวมัน

.........................................

Screen size: 27 inches

Panel type: LG Display LM270WQ6-SSA1 AH-IPS
(Advanced High Performance In-Plane Switching) LCD

Native resolution: 2560 x 1440

Typical maximum brightness: 300 cd/m²

Colour support: 1.07 billion (8-bits per subpixel plus dithering)

Response time (G2G): 6ms

Refresh rate: 60Hz

Weight: 7.11kg

Contrast ratio: 1,000:1

Viewing angle: 178º horizontal, 178º vertical

Power consumption: 45W typical

Backlight: GB-LED (Green Blue Light Emitting Diode)

Pixel Pitch: 0.2331 mm x 0.2331 mm

Display Screen Coating: Anti-Glare with 3H hardness

.................................

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องมี

- จอ + ขาตั้งที่ต้องมาประกอบใส่ แต่ใส่ง่ายมากแค่คลิ๊กเดียว

- สายไฟ AC , สาย miniDP to DP
(ใครใช้แม็ค ใช้ต่อกับแม็คได้เลยไม่ต้องซื้อสายเพิ่ม)
ผมเองใช้ PC ก็ต่อผ่านพอร์ทนี้ เพื่อให้ได้คุณภาพสูงสุด แต่การ์ดจอต้องมีพอร์ท DP ด้วยนะครับ

- สาย USB 3 แบบ upstream 1 เส้น
(ถ้าจะคาลิเบรทจอแบบ Hardware calibrate ต้องต่อสายนี้)

- CD สำหรับติดตั้งโปรแกรมต่างๆ 1 แผ่น และแมนวล

- คู่มือการประกอบจอ

..............................................

 

ทาง DELL แนะนำให้ใช้ตัวแคลจอรุ่น EyeOne Display Pro จากทาง X-rite

ผมใช้ EyeOne Display Pro ของทาง x-rite ในการคาลิเบรทจอ
ซึ่งทาง DELL ก็แนะนำให้ใช้รุ่นนี้กับจอของเขา

ลองดูผลจาการแคล

 

ค่าที่ตั้ง เทียบกับค่าที่ได้

ผมตั้ง White Point ที่ 65K , ได้ผลที่ 6565K

Luminance = 100 : ได้ผลที่ 100

Contrast Ratio = native : ได้ผลที่ 1048 : 1

 

Curve ที่ได้หลังจากแคล แบบปรับค่า RGB ด้วย ได้เส้นตรงเกือบทับกันสนิท

Curve ที่ได้หลังการคาลิเบรท ทับกันเกือบสนิททั้ง 3 เส้น RGB เพราะตอนแคล
จอสามารถปรับค่า RGB ได้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก

 

วัดค่า DeltaE ได้ต่ำกว่า 1 คือ 0.68 ต่ำกว่าที่ทาง Dell เคลมไว้

สรุป จากการใช้งานมา 5 วัน

ข้อดี

-เป็นจอที่แสดงสีได้กว้างสุดในปัจจุบันคือ 100 % AdobeRGB เหนือกว่าจอทั่วไปที่ยังแสดงสีได้ที 99 %
(ถ้าดูจากภาพด้านล่างจะเห็นว่าจอมีกามุตสีกว้างกว่า AdobeRGB เสียอีก) สามารถใช้ในงานภาพถ่าย
สิ่งพิมพ์ที่ใช้เสปซสีแบบ AdobeRGB หรือ จะใช้งานประเภทเว็บ หรือที่แสดงผลผ่านจอก็ครอบคลุม 100 % sRGB อยู่แล้ว

 

เทียบกามุตสี AdobeRGB กับของจอ UP2716D

 

เทียบกามุตสีที่จอ UP2716D กว้างขึ้นจากรุ่น U2713H

- แสดงสีได้สูงถึง 10 บิต พันล้านสี
สูงกว่าจอ Mac , iMac, MBP หรือจอ PC ทั่วไป ที่แสดงสีได้ประมาณ sRGB 16.7 ล้านสี

 

กามุตสีจอ Mac ทุกรุ่นจะอยู่ที่ประมาณ sRGB ซึ่งต่ำกว่า AdobeRGB มาก จึงไม่เหมาะกับงานที่ใช้เสปซสีเป็น AdobeRGB

- เมื่อผ่านการคาลิเบรทแล้วสามารถลดความคลาดเคลื่อนลงได้จากที่โรงงานเคลมไว้ DeltaE ต่ำกว่า 2 เป็นต่ำกว่า 1 ได้
- มีความสม่ำเสมอของความสว่างทั่วทั้งจอ ได้ดีกว่าจอทั่วไป
- คุณภาพหลังการคาลิเบรท สามารถเทียบได้กับจอที่ราคาแพงกว่านี้ 4 เท่า
- ประกัน on site 3 ปี แบบเปลี่ยนจอใหม่

 

ข้อด้อย

ขอบจอ จะบางมาก และไม่มี Hood แถมมาด้วย
ถ้าต้องการใส่ Hood บังแสงเพิ่มเติมจะค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าจะนำไปต่อแบบใช้งานหลายจอก็จะเหมาะ เพราะขอบบางมาก
ราคาค่อนข้างสูงกว่าจอทั่วไปพอสมควร
ราคาตั้งประมาณสามหมื่นต้น ๆ
(แต่หาซื้อได้ในเว็บราคา 25500- 28000 บาท)


จบแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้ใช้งานไป แล้วพบอะไรจะมาแจ้งเพิ่มเติมนะครับ

สมชาย สุริยาสถาพร
06/04/2016

ปล. จอนี้ผมได้มา จากจอ Dell U2713H ที่ผมซื้อมาได้ไม่ถึงปีแล้วเสีย ทางเดล มาเปลี่ยนจอให้สองรอบ
รอบสองเลยเปลี่ยนเป็นจอรุ่นใหม่ให้เลย โทรแจ้งวันนี้ พรุ่งนี้บ่าย จอมาส่งเลยขอรับ

ปล.2 ผมรีวิวเรื่องนี้เอง ไม่เกี่ยวกับ บ.เดล แต่อย่างใด เค้าไม่ได้จ้าง
ท่านใดอยากได้จอ ไม่ต้องเมสเสจมาหาผมนะครับ ผมไม่ได้ขายของ

.................................................................................................

เพิ่มเติม 10/04/2016
คุณสมบัติพิเศษของจอซีรีย์ UP ของเดล

 

PremierColor

 

จอภาพซีรีย์ Ultrasharp ใช้ Panelจอแบบ IPS

มีบางท่านถามถึงจอ 27 นิ้วที่ให้สีกว้างแบบ AdobeRGB และ มีความละเอียดระดับ 5K ด้วย ได้เลยครับจัดรูปมาให้ชม

 

จอ 27 นิ้ว 5 K ที่แสดงสีได้กว้างแบบ AdobeRGB

Spyder X Elite Colorimeter

Spyder X Elite Colorimeter

Review : Spyder X Elite Colorimeter

วันนี้จะมาเขียนรีวิว Spyder X Elite อุปกรณ์คาลิเบรทจอภาพ (Colorimeter) เพื่อให้จอภาพแสดงผลได้เที่ยงตรงตามมาตรฐาน โดย Spyder X เป็นตัวแคลจอรุ่นใหม่ล่าสุด จากค่าย Data Color ต่อจากรุ่นก่อนคือรุ่น Spyder 5

Spyder X ได้ออกมา 2 รุ่น คือรุ่น Spyder X Pro กับ Spyder X Elite ซึ่งเป็นรุ่นท๊อปสุด

Spyder X Pro กับ Spyder X Elite

 

SpyderX สองรุ่นนี้ แตกต่างกันอย่างไร ดูได้จากตารางด้านล่างครับ

Spyder X Pro VS Spyder X Elite

Spyder X Pro VS Spyder X Elite

 

ผมเองได้รับ Spyder X Pro จากตัวแทนมาทดลองใช้ก่อน แล้วรู้สึกว่ายังใช้งานได้ไม่ครบทุกฟังค์ชั่น เพราะเดิมผมมีใช้ Spyder 5 รุ่น Elite อยู่ จึงได้ขอรุ่น Elite เค้ามาลองทดสอบต่ออีกที โดยในรีวิวนี้ จะขอรีวิวเฉพาะรุ่น Elite เท่านั้นครับ

เนื้อหาบทความจะแย่งเป็น 3 ส่วน คือ

1.รีวิวการใช้งานแบบ Step by Step
2.เช็คผลลัพธ์ที่ได้
3. เปรียบเทียบความแตกต่างจากรุ่นก่อน

 

Spyder X Elite

Spyder X Elite

บทที่ 1. รีวิวการใช้งาน

หลังจากติดตั้งซอฟแวร์เรียบร้อยแล้ว ก็จัดการต่อสายเจ้า Spyder X Elite เข้ากับคอมฯ เปิดโปรแกรมแล้วทำตามคำแนะนำแบบ Step by Step ตามภาพด้านล่าง

หน้าแรก Welcome เลือกอันบน Calibrate My Display

หน้าแรก Welcome เลือกอันบน Calibrate My Display

 

หน้าที่ 2. เปิดครั้งแรกจะมีเช็คลิสต์ให้เราติ๊กไปทีละหัวข้อ ตามคำแนะนำ

  • Warm UP เปิดหน้าจอวอร์มไว้ ครึ่งชั่วโมง
  • เช็คไม่ให้มีแสงหรือหลอดไฟ ส่งตรงไปโดนที่ผิวจอภาพ
  • การปรับค่าต่างๆตั้งค่าที่จอภาพก่อนแคล
  • เช็คการต่อสายตัว Spyder เข้ากับคอมพิวเตอร์

 

หน้าที่ 3. Display type เลือกชนิดของจอภาพ ที่จะแคล มีให้เลือก 3 แบบ จอเดสทอป จอโน๊ตบุค และจอโปรเจ็คเตอร์

 

หน้าที่ 4. Make and Model เลือกยี่ห้อ และ รุ่นของจอภาพที่จะแคล

ตัวอย่างในภาพ 1. จอ Dell , 2. รุ่น UP2716D

 

หน้าที่ 5. Identify Controls เช็คว่าจอเราสามารถปรับตั้งต่า Brightness กับ Kelvin ได้ไหม ได้ก็ติ๊ก ไม่ได้ก็ปล่อยผ่าน

 

หน้าที่ 6. Display Technology เลือกชนิดของหลอดไฟส่องหลังจอภาพ ปกติจอภาพคอมพิวเตอร์ PC ส่วนใหญ่จะเป็น White LED แม้กระทั่งจอ Mac ก็เลือกชนิดนี้
ยกเว้นจอพิเศษที่บอกว่าแสดงสีได้กว้างถึง AdobeRGB จะเป็นพวก GB LED ตามคำบรรยายในภาพ พอดีจอของผมเป็นแบบนี้ (Dell UP2716D) ก็เลยเลือก GB LED

 

หน้าที่ 7. Select Workflow ทำครั้งแรกให้เลือกอันแรก Step by Step ครับ

 

หน้าที่ 8. Calibration Setting การแคลครั้งแรก ให้เลือก Full Cal ตามภาพ เลือกค่า Gamma, White Point และ Brightness
เสร็จแล้ว ให้กด Advanced Settings ตรงมุมซ้ายล่าง

 

หน้าที่ 9. Advanced Setting สำหรับ Spyder X Elite จะมีตัวเลือกเพิ่มเติม ที่รุ่น Pro ไม่มี คือ Gray Balance Calibration ซึ่งดีงามมาก ส่วนตัวผมชอบมาก เพราะผมทำงานกับรูปขาวดำเป็นหลัก การคาลิเบรท Gray Balance ช่วยการไล่เฉดสีเทาจากมืดไปสว่างเที่ยงตรงขึ้นมาก สีเทาไม่ติดหรืออมโทนสีต่างๆ ในภาพผมเลือกตั้งค่าเป็น Better ซึ่งจะใช้เวลานานขึ้นแต่ให้ผลดีที่สุด

 

หน้าที่ 10. Calibration เราพร้อมจะแคลแล้ว ให้วางตัว Spyder ที่หน้าจอในตำแหน่งตามภาพครับ โดยดึงฝาครอบเซ็นเซอร์ออก แล้วดึงออกไปให้เป็นตัวถ่วงจอด้านหลัง พร้อมแล้วก็กด Next เพื่อเริ่มทำการคาลิเบรท

 

Spyder X ใช้เวลาในการแคล เร็วกว่ารุ่นเดิมขึ้นมาก ใช้เวลาโดยรวมไม่ถึง 2 นาทีก็เสร็จครับ

 

เมื่อแคลเสร็จแล้ว จะขึ้นคำว่า Finish กดปุ๊ป ก็จะให้เราเซฟโปรไฟล์ที่แคล เราก็ตั้งชื่อให้มีความหมาย แล้วกด Save เป็นอันเสร็จขึ้นตอนการคาลิเบรทจอ

 

หน้าต่างต่อมาจะเป็นการ Soft Proof ให้เราเช็คดูภาพตัวอย่างว่าผลการแคลเป็นอย่างไร มีภาพให้เลือกดูมากมาย

 


 

บทที่ 2. เช็คผลลัพธ์ที่ได้

 

ทำการวัดผลที่ได้หลังการคาลิเบรท เริ่มจากเช็ค Gamut สี

จอ Dell UP2716D หลังการแคลด้วย Spyder X Eliteได้ค่า Gamut สีที่
100% sRGB , 100% AdobeRGB, 93% P3

 

เช็ค Tone Response ค่า Gamma ที่ 2.2

 

เช็ค Color Accuracy ความถูกต้องของสี

เช็คความเที่ยงตรงของสี ผมลองแคลอยู่หลายครั้ง ได้ค่าเฉลี่ยเดลต้าอี ต่ำสุดอยู่ ที่ 0.56
( *ค่าเฉลี่ยเดลต้าอี ต่ำกว่า 2.0 ถือว่าดี เหมาะใช้งานมืออาชีพ, ต่ำกว่า 1.0 ถือว่า เยี่ยม)

 

เช็ค Monitor Rating
จอ Dell UP2716D ของผม อายุการใช้งาน 3 ปี ได้ค่าเรตติ้งตามภาพด้านบน

Gamut ได้คะแนนเต็ม 5
Tone Respone ได้คะแนนเต็ม 5
Color Accuracy ได้คะแนน 4.5

 


 

3. เปรียบเทียบความแตกต่างจากรุ่นก่อน

ผมลองเอาเจ้า Spyder 5 Elite มาแคล เปรียบเทียบผลกับรุ่นใหม่ Spyder X Elite ให้ดูกันครับ

 

เริ่มจากมาดูหน้าตาเปรียบเทียบกันก่อน

 

ที่เปลี่ยนไปอย่างแรกคือ

1. สี จากดำ ไป ขาว
2. รูปทรงสามเหลี่ยมกลับด้านกัน
3.เซ็นเซอร์ เปลี่ยนมาใช้ชิ้นเลนส์แก้ว แทนที่ตารางรังผึ้ง เพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพในการรับแสง

 

มาดู “ระยะเวลา” ในการคาลิเบรทกัน

ผมตั้งแบบ Full Cal + ทำ Gray Balance Calibration ด้วย

Spyder 5 ใช้เวลาไป 5:19 นาที

Spyder X ใช้เวลาไป 1:36 นาที

ทำเวลาได้เร็วกว่าเดิมมาก

 

มาดูผลการคาลิเบรท

- เรื่อง Color Gamut ความกว้างของสี

Spyder X ทำได้ดีกว่า คือ หลังแคล จอยังแสดงสีได้ 100% AdobeRGB
แต่ของ Spyder 5 สีลดลงเหลือ 98% AdobeRGB

 

ผลความเที่ยงตรงของสี Color Accuracy

Spyder X ทำได้ดีกว่า ได้ค่าเฉลี่ยเดลต้าอีที่ต่ำกว่า คือ 0.56 ส่วนรุ่นก่อน Spyder 5 ทำได้ต่ำสุดที่ 0.76
แปลว่า Spyder X แคลแล้ว จอได้สีที่เที่ยงตรงมากกว่า

 

ราคาขาย เท่าที่ผมเช็คมาในเว็บไซด์

Spyder X pro = ฿ 6,590.00
Spyder X Elite = ฿ 9,790.00

 

บทสรุป ของ Spyder X Elite

ข้อดี

  • Spyder X Elite พัฒนาดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม อย่างเห็นได้ชัด
  • ความเร็วในการแคล เร็วมาก ไม่ถึง 2 นาที
  • ผลลัพธ์ที่ได้หลังการแคล ให้ค่าเฉลี่ยเดลต้าอีต่ำลง แปลว่าแม่นยำขึ้น
  • ทำ Gray Balance ได้ดีขึ้น สีเทาเที่ยงตรงมากขึ้น ไม่อมสีนิดๆเหมือนรุ่นก่อน
  • แคลแล้วกามุตสีของจอไม่สูญเสีย สียังสดได้ 100 %AdobeRGB
  • รุ่น Elite ซึ่งเป็นรุ่นทอป ราคาจำหน่าย ต่ำกว่าหมื่น ถูกกว่าคู่แข่ง
  • มีตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ มีการรับประกันสินค้า

ข้อด้อย

เวลาติดตั้งโปรแกรมต้องใสเลข Serial มีการเช็คโลเคชั่นของผู้ใช้งาน ไม่เหมาะกับเอามาใช้รับบริการแคลจอ

 

สุดท้าย ท้ายสุด

ถามว่า ซื้อได้ไหม ควรซื้อไหม เทียบคุณภาพกับคู่แข่ง หรือรุ่นก่อน
ตอบว่า ถ้าชอบใจก็ซื้อได้เลย คุณภาพสูสีกับคู่แข่ง บวกตัวแทนจำหน่ายดี น่าเชื่อถือในบริการ

เขียนที่บ้าน
#สมชายการช่าง
25/07/2019

Sunwayfoto GH-PRO Review

Sunwayfoto รุ่น GH-PRO

Sunwayfoto รุ่น GH-PRO

Review Sunwayfoto GH-PRO ภาคสนาม

BY สมชายการช่าง

สวัสดีครับทุกท่าน ในที่สุด ก็ได้เวลาเขียนถึงหัวเกียร์ที่ฮอตที่สุดในช่วงนี้
หัวเกียร์ Sunwayfoto รุ่น GH-PRO 

หลังจากได้ของมาเมื่อต้นเดือนสิงหา ผมก็พาไปออกทริปมาได้ 4 ครั้ง
กับกล้อง Large Format 2 ครั้ง และ กล้อง DSLR 2 ครั้ง

เริ่มจากสิ่งที่ผมสนใจที่สุด เกี่ยวกับหัว GH-PRO นี้คือ เป็นหัวเกียร์เล็กกระทัดรัด และ เบามาก
จากปกติผมใช้หัวเกียร์ของ Man 410 อยู่ประจำ
ของแมน 410 ซึ่งเป็นรุ่นเล็กแล้ว ยังใหญ่กว่า และ หนักถึง 1200 กรัม

กับตัว GH-PRO ที่หนักเพียง 750 กรัม สูง 10.9 เซ็น และ เล็กกระทัดรัดมาก ขนาดพอ ๆ กับหัวบอลทั่ว ๆ ไปเลย

 

Sunwayfoto GH-PRO

หัวเกียร์ Sunwayfoto GH-PRO จะเป็นหัวแบบปรับ 3 ทาง คือ แพนซ้าย-ขวา, ก้ม-เงย และเอียงซ้าย-ขวา
แต่ตัวเฟืองเกียร์ จะมีอยู่แค่ 2 ทาง คือ ก้ม-เงย และเอียงซ้าย-ขวา
ส่วนแพนไป ซ้าย-ขวา จะเป็นระบบ ตัวล๊อค และ ปลดล๊อค ไม่มีเฟือง
แต่สามารถแพนได้ 2 จุด ที่ตรงฐาน และ ตรงแท่นเพลทยึดกล้อง

 

*ตัวเพลทเป็นขนาดมาตฐานแบบ Acra Swiss

 

Product Details

 

วัสดุทำมาจาก Aviation aluminum ซึ่งเป็นอลูมิเนียมน้ำหนักเบาเกรดเดียวกับที่ทำเครื่องบิน

 

ขนาดความกว้าง-สูง

 

Sunwayfoto GH-PRO กับกล้อง LF 4x5

 

เริ่มทริปภาคสนามแรก
ผมก็เอามาลองใช้กับกล้องฟิล์ม Large Format ก่อนเลย โดยนำไปถ่ายภาพที่วัดราชนัดดา
ตัวกล้อง LF รวมเลนส์ มีน้ำหนักอยู่ที่ 3.5 กิโลฯ ก็สามารถยึดกล้องได้มั่นคงดี
ผมถ่ายตัวภาพในโลหะปราสาท แบบใช้สปีดชัดเตอร์ช้า ภาพก็ออกมาคมชัดดี ไม่มีสั่นครับ

 

ถ่ายภาพภายในโลหะปราสาท วัดราชนัดดา ด้วยกล้อง LF

 

ภาพถ่ายที่ได้ออกมาคมชัดดี

ภาพภายใน ชั้นที่ 3 โลหะปราสาท จากกล้อง LF

วันที่ 13/08/2018 สปีดชัตเตอร์ 1 วินาที

Camera : Wista 45 SP
Lens : Schneider Kreuznach APO Symmar 120 mm f/5.6
Camera Movement = Rise Front
Film : T-MAX 100
Expose : s.1 sec., f/32

 

ทริปที่ 2
ไปถ่ายที่อยุธยา เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2561
ภาพแรกจาก วัดปราสาทนครหลวงครับ

 

ปราสาทนครหลวง พระนครศรีอยุธยา

 

ปราสาทนครหลวง , พระนครศรีอยุธยา
19/08/2018

Camera : Wista 45 SP
Lens : Schneider Kreuznach APO Symmar 120 mm f/5.6
Camera Movement = Front Rise and Shift
ถ่ายที่ EV 13
Film : T-MAX 100
Expose : s.1/8 sec., f/32

 

ต่อมาก็เดินทางมาถ่ายแสงเย็นที่วัดพระงาม คลองสระบัว

 

ทดลองปรับ Movement กล้อง LF บนหัว GH-PRO

คราวนี้ผมลองตั้งกล้องมุมต่ำ นั่งถ่ายกับพื้น แล้วปรับหัว GH-PRO ให้เงยสูงขึ้น แล้วปรับระนาบกล้องให้ตรง

หัว GH-PRO ก็ยึดกล้องได้นิ่งดีอยู่ครับ

 

รูปซุ้มประตูปรกโพธิ์


"ซุ้มประตูปรกโพธิ์"
วัดพระงาม อยุธยา
19/08/2018 17:10 น.


Wista 45 SP
Schneider Kreuznach Super Angulon 90 mm f/8.0
วัดแสง รากไม้ EV 7 วางไว้ zone 3
ถ่ายที่ EV 9
S. 1 sec., F/22
Film : Fuji Acros 100
Dev : T-Max Dev.

 

ทริปที่ 3
หัวเกียร์ GH-PRO กับกล้อง DSLR นิคอน D600 ที่น้ำตกนางรอง นครนายก

 

หัว GH-PRO กับกล้อง DSLR

สองทริปแรก เอาไปถ่ายกับกล้องตัวใหญ่อย่าง Large Format ยังเอาอยู่ ทริปนี้กับ DSLR
ผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะผ่านได้ แต่เมื่อนำมาถ่ายกับกล้อง DSLR จะมีต่า่งกับกล้อง LF
คือมีปรับกล้องแนวนอน แนวตั้งด้วย ลองมาดูภาพที่ได้กันครับ

 

Long Exposure 10 วินาที

 

ทดสอบความนิ่งของหัวเกียร์ Sunwayfoto GH-Pro กับสปีดชัตเตอร์ช้า 10 วินาที

น้ำตกนางรอง ชั้นที่ 1.
นครนายก
23/08/2018

D600
24-120 mm.
Filter : NiSi VR-ND

 

 

ทริปที่ 4

ทริปนี้โหดหน่อย พาเดินลุยป่าเขาใหญ่ ผมแพ็คขาตั้งติดหัว GH-PRO เข้ากับกระเป๋า F-Stop Tilopa
แบบต้องมุดลอดต้นไม้ ข้ามลำธาร เดินลัดเลาะไปในป่า มีขุดมีโดนกับต้นไม้ กิ่งไม้ ไปตลอดทาง...
แต่ก็ยังใช้งานดี ไม่มีปัญหาอะไรครับ

 

ตั้งถ่ายแบบแนวตั้ง

ทดลองการตั้งขาถ่ายแบบแนวตั้ง หัว GH-PRO จะปรับเฟืองได้ 2 ทาง
การก้ม-เงยกล้อง ต้องปรับที่ตัวปรับตรงฐานเพลทยึดกล้อง ใช้ปลดล๊อค และ ล๊อค โดยจะไม่มีเฟืองเกียร์ด้านนี้ภาพ

 

หัว GH-Pro กับภาพถ่ายแนวตั้ง

 

หัว GH-Pro กับภาพถ่ายแนวตั้ง

 

บทสรุป

หลังจากเอาหัว GH-PRO ไปลุยภาคสนามจริงมา 4 ทริป

1. GH-PRO เป็นหัวเกียร์ที่เล็ก และ เบา สะดวกมากสำหรับการนำไปถ่ายภาพสนาม หรือ ต้องมีการเดินป่าระยะทางเป็นกิโลๆ เบากว่าหัวเกียร์ทั่้วไป

2. ราคาของหัว Sunwayphoto รุ่น GH-PRO อยู่ที่ 14,900 บาท ซึ่งนับว่าสูงกว่าหัวขาตั้งทั่วไปพอสมควร
แต่ถ้าเทียบกับหัวเกียร์ลักษณะเดียวกันอย่างของ Arca swiss ที่มีราคาอยู่ประมาณ 4 หมื่นบาท ซึ่งก็ถือว่าถูกกว่าเกินครึ่ง

3. เนื้องานวัสดุ คุณภาพถือว่าดีใช้ได้ แต่ก็ไม่เนียนเท่ากับหัวที่แพงกว่าอย่าง Arca swiss แต่ก็ถือว่า คุ้มราคาครับ

สุดท้าย ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบงานละเอียด ใช้หัวเกียร์ในการทำงานถ่ายภาพ หัว GH-PRO เป็นหัวที่น่าใช้มาก
ด้วยขนาดที่เล็ก เบา และราคาถูกกว่าของทางยุโรปกว่าครึ่งครับ

หมายเหตุ : หัว Sunwayfoto รุ่น GH-PRO นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บ. Camera Maker
ติดต่อได้ตามลิงค์นี้นะครับ SunwayFoto Geared Head GH-PRO

 

เขียนที่บ้าน
7/09/2018
สมชายการช่าง

BenQ SW270C Review

BenQ SW270C จอคอมแต่งภาพสีตรง

Review: BenQ SW270C จอคอมแต่งภาพสีตรง ฉบับใช้งานจริง

ก่อนจะดูรีวิว มาดูข้อมูลจากผู้ผลิตเบื้องต้นก่อนครับว่า จอคอมแต่งภาพ SW270C ตัวนี้มีดีอะไรบ้าง

BenQ SW270C
  • จอคอมแต่งภาพ IPS 2K
  • AQColor สีตรง ช่วงสีกว้าง100% sRGB / 99% Adobe RGB
  • มีฟังก์ชั่น HW Calibration / คาริเบรทพร้อมใช้จากโรงงาน
  • มั่นใจด้วยการรับรองจาก Pantone & CalMAN
  • มาพร้อม Hood และ Hotkey Puck
  • เชื่อมต่อง่ายด้วย USB-C

 

แสดงสีได้กว้างถึง 99% AdobeRGB

 

จอแสดงผลได้ถึง 10 บิต พันล้านสี

 

ควบคุมคุณภาพมาอย่างดี ใช้ต่อหลายๆจอแล้วแสดงผลได้ต่อเนื่อง

 

มี Hardware Calibration ทำให้การคาลิเบรทจอได้ผลที่ดีที่สุด

 

จอคอมแต่งภาพ ที่คาลิเบทมาแล้วจากโรงงาน

 

การแสดงผลแบบ HDR สำหรับงานวิดีโอ

 

มีพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C และ Shading Hood มาให้พร้อม

 

ข้อมูลเสป็คโดยละเอียด อ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์นี้ครับ BenQ SW270C

 

 

หลังจากที่ได้จอ BenQ SW270C (จอที่บอกว่าเป็น จอคอมแต่งภาพ ที่ออกแบบมาสำหรับช่างภาพโดยเฉพาะ) มาเทสต์เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม
โดยผมเอามาต่อใช้งานเป็นจอหลักในการทำรูปของผมทุกวัน นับชั่วโมง ก็เกิน 200 ชั่วโมงแล้ว
 
วันนี้ถึงเวลาที่จะมารีวิวแบบเต็ม ๆ ให้ทุกท่านให้อ่านกันหละครับ
 
เริ่มตั้งแต่ unbox แกะกล่องกันเลยครับ
BenQ SW270C มาในกล่องที่แพ็คมาอย่างแน่นหนา แข็งแรง และมีขนาดใหญ่กว่าจอทั่วไปที่มีขนาดเดียวกันมากครับ
ขนาดกล่องมีความหนาถึง 42.5 เซ็น ยาว 73.5 และสูง 50 เซ็น ใหญ่กว่า จอ 27 นิ้วที่เคยเจอมาเลยครับ
 
ขนาดกล่อง 735x425x505 mm.

 

รายละเอียดข้างกล่อง

แจ้งว่าเป็นจอมอนิเตอร์ LCD ที่ใช้หลอดส่องสว่างด้านหลังเป็นแบบ LED
Model : SW270c-B
มีค่าความส่ว่าง : 300 nits
ค่าคอนทราสต์ : 1000:1
Respone Time : 5 ms.
ต่อ Input ได้แบบ HDMI, DP, USB-C
ความละเอียดสูงสุดที่ 2560x1440 พิกเซล
น้ำหนัก : 18.4 กิโลกรัม
และ Made in China ครับ
 
 
รายละเอียดข้างกล่อง

 

Special Features

เปิดกล่องมาดูข้างใน เจอที่แปะมาบนฝากล่องมี

ซ้ายสุด ซองใส่ใบรายละเอียดค่าการ Calibrate จากโรงงาน
ตรงกลาง เป็นรูปส่วนประกอบของในกล่อง
ด้านขวา แจ้งคุณสมบัติเด่นๆ

- มีโปรแกรมแคลของจอเองคือ Palette Master Elements ทำให้สามารถแคลจอแบบ Hardwareได้
- Hotkey Pucks อันนี้ผมชอบมาก ใช้ปรับจอได้สะดวกรวดเร็วขึ้นมากตอนแคลจอ
- Shading Hood ฮูดบังแสงรบกวนให้จอ อันนี้ก็เป็นของจำเป็นสำหรับจอแต่งภาพ
 
Special Features

 

 

Factory Calibration Report

ของจอนี้ ผมครอปบางส่วนที่สำคัญมาให้ชมครับ

 

Factory Calibration Report

 

ลองมาดูข้างในกันบ้างครับ
เปิดฝาปิดออก บนสุดก็จะเจอ ขาตั้งก่อน อันดับแรก
 

ยกกล่องส่วนบนนี้ออกก็จะเจอที่เหลือทั้งหมดครับ

หน้าตากล่องที่บรรจุจอมา แพ็คมาเป็นสัดส่วน เว้นช่องห่าง ดูแข็งแรงปลอดภัยดี เลยทำให้กล่องใหญ่มากไปด้วย

 

เริ่มประกอบ

โดยเอาแป้นฐาน มาขันเข้ากับขาตั้งจอ ใส่เข้าไปในล๊อค แล้วหมุนไปทางขวา แล้วขันเกลียวน๊อตยึดเข้าไปให้แน่น

เมื่อประกอบเสร็จ หน้าจาจะเป็นแบบนี้ ตรงกลางฐาน จะเป็นที่วางเก็บ Hotkey Pucks

 

ประกอบขาตั้งเสร็จ ก็ยกพาแนลจอมาวางลงบนกับโต๊ะ แล้วเอาขาตั้งไปประกบใส่ครับ
กดลงไปขาก็จะล๊อคกันเอง (เวลาจะเอาออก ก็กดปุ่ม ก็จะปลดล๊อค ยกออกได้)

 

จอ BenQ SW270C สามารถวางได้ 2 แบบ คือ แนวนอน หรือ แนวตั้ง ได้

 

แต่โดยปกติใช้งานทำรูป เราก็คงจะวางจอแนวนอนกันนะ ตัวขาตั้งจอ สามารถปรับสูงต่ำได้มาก ผมลองวัดแล้วเอามาให้ดูครับ

จอ วัดจากด้านล่าง ปรับได้ต่ำสุด 10 cm. สูงสุด 24.5 cm.

 

วัดด้านบน ปรับได้ต่ำสุดประมาณ 46.5 cm.

 

ปรับได้สูงสุดสุดประมาณ 61.5 cm. สุดไม้บรรทัด 2 ฟุตเลยครับ

 

พอร์ตเชื่อต่อต่าง ๆ ของจอที่มีมาให้

ช่องต่อสายต่าง ๆ ที่ต้องต่อ เวลาต่อสาย ผมชอบหมุนจอตั้ง เพื่อจะได้ต่อสายได้ง่ายขึ้นครับ

สายที่จำเป็นไล่จากล่างขึ้นไป

 

  1. สายไฟ A/C
  2. สายของตัว Hotkey Pucks
  3. สายสัญญาณภาพ ในที่นี้ผมเลือกใช้สาย DP (สายที่ให้มาเป็น DP to MiniDP)
  4. สาย USB แบบ Upstream เพื่อใช้กับพอร์ต USB ด้านข้างจอ กับใช้ตอนทำ Hardware Calibration (มีให้มา)

 

ด้านข้างจอด้านซ้าย สามารถเสียบต่อ USB ได้ 2 พอร์ท กับ 1 ช่อง SD card

 

ด้านบนจอ ตรง Hood มีช่องเปิด สำหรับใส่ตัวคาลิเบรทจอลงมา เวลาจะแคลจอได้

 

เมื่อประกอบจอเสร็จ ก็ต่อเข้าคอม เปิดเครื่องวอร์มจอไว้สักพัก แล้วก็เริ่มคาลิเบรทจอ เพื่อวัดผลกัน

 

ปุ่มปรับต่างๆของจออยู่ที่มุมขวาล่าง มีทั้งหมด 6 ปุ่ม ขวาสุดคือปุ่ม Power

 

หน้าตาโหมดต่างๆ ของจอที่มีมาให้ เริ่มจาก AdobeRGB ก่อนแล้วไล่ลงไปเรื่อย มีเยอะถึง 2 หน้า

 

โหมด Calibration

โหมด Calibration 1, 2, 3
สำหรับการแคลแบบ Hardware Calibration ด้วยโปรแกรมของทาง BenQ เอง
คือ Palette Master Elementsและ โหมด Custom1, 2
สำหรับการแคลด้วยโปรแกรมของตัว Calibrate เอง เช่น i1Profiler

 

ก่อนจะเริ่มแคลจอ
ก็ต้องติดตั้งโปรแกรม Palette Master Elements ก่อน
โดยดาวโหลดได้ที่ Palette Master Element

เมื่อติดตั้งโปรแกรมเรียบร้อย ก็ต่อตัวเครื่อง Calibrateจอ (i1, spyder) เข้ากับคอมพิวเตอร์ (ในที่นี้ผมใช้ตัว i1 DisplayPro ในการแคล)
**อย่าลืมต้องต่อสาย USB Upstream จากคอมมาเข้าจอด้วย แล้วก็เปิดโปรแกรม Palette Master Elements ขึ้นมา
 
การแคลมี 2 โหมดให้เลือก Basic กับ Advanced
...แน่นอน ผมต้องเลือกแบบ Advanced
กด Start ไปต่อหน้าต่อไป

 

Display Setting

หน้านี้จะเป็นการเลือกค่า Setting ให้เหมาะกับงานประเภทต่างๆ

Display Setting

ค่า Default จะเป็นแบบ Photographer (AdobeRGB) เพราะจอนี้เค้าโปรโมทว่าเป็น Photographer Monitor

โดยมีค่าที่เซ็ทให้ไว้ตามภาพ คือ

White Point : D65
Color Space : AdobeRGB
Luminance : 120
Gamma : 2.2



แต่ถ้าจะใช้งานแบบอื่น ก็มีให้เลือกหลากหลายครับ

ค่า Preset ทีทางโปรแกรมตั้งให้มา มี 6 แบบคือ

 

  • Photographer (AdobeRGB)
  • Web Design (sRGB)
  • Graphics (AdobeRGB)
  • Cinema (DCI-P3)
  • Designer ( Display P3)
  • Video Editing (Rec. 709)

 

และก็มีให้เรา Custom Setting เอง และ Save เก็บไว้เรียกใช้ได้
อย่างในภาพ ด้านล่างสุด จะมีค่าของผมเองชื่อ Photo-Somchai

ตามรูปด้าบน คือ Setting ที่ผมใช้งาน ใครจะตั้งตามก็ได้นะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

 

ถัดมา หน้า Measurement

พอร์ทการเชื่อมต่อ

หน้า Measurement เราสามารถเลือกว่าจะเซฟค่าคาลิเบรทไว้ที่โหมด Calibration ไหน เค้ามีให้เลือกได้ 3 อัน

แปลว่าเราสามารถแคล แล้วเซฟเก็บไว้เรียกใช้ได้ 3 แบบเลยที่เดียว อันนี้ก็ชอบ

เซ็ทเสร็จแล้วก็กด Start Measurement 

 

เค้าจะขึ้นรูปให้เราเอาตัวแคลไปวางแปะที่จอ ควรเอียงจอขึ้นเล็กน้อย

ตัวแคลจะแนบสนิทกับจอ หลังจอไม่ควรให้มีแสงไฟส่องมารบกวนขณะทำการแคลครับ

กด Continue แล้วก็นั่งรอสักครู่ครับ

 

แคลเสร็จ จะขึ้นหน้า Calibration Complete เป็นอันเสร็จขึ้นตอนการแคลจอ

Calibration Complete

 

 

ต่อมาเราก็จะมาวัดผลการแคลต่อ โดยกดที่ Validate Calibration

Validate Calibration

กดปุ่ม Start Measurement วางตัวแคลลงหน้าจออีกรอบ แล้วรอจนแคลเสร็จ 

 

Validate Report

Validate Report
 
หน้านี้ก็จะรายงานผลการวัด ดูตรงช่อง Test
ค่ามาตฐานที่ปรแกรมเซ็ทไว้คือ ค่าเฉลี่ยเดลต้าอี ไม่เกิน 2.0 , ค่าเดลต้าอีมากสุดไม่เกิน 4.0

จอ SW207C ตัวนี้ ได้ค่าเฉลี่ยเดลต้าอี ที่ 0.52
ค่าเดลต้าอี มากสุดที่วัดได้คือ 1.20
PASSED ผ่าน และก็ต่ำมากด้วยครับ คือตำ่กว่า 1 อีก ที่ 0.52
โดยทั่วไป มาตรฐานค่าเฉลี่ยเดลต้าอี สำหรับงานมืออาชีพคือต้องต่ำกว่า 2.0 ลงมาครับ
ถ้าได้ต่ำกว่า 1 ก็ถือว่า ยอดเยี่ยมมาก

 


 

ต่อไป ผมก็มาลองแคลด้วยโปรแกรมของ i1 เอง คือ โปรแกรม i1 Profiler เวอร์ชั่น 3

โปรแกรม i1 Profiler เวอร์ชั่น 3

แคลด้วยโปรแกรมของ i1 ผมเลือกเซฟไว้ที่โหมด Custom 2
ได้ค่า ได้ค่าเฉลี่ยเดลต้าอี ที่ 0.58 ครับ

 

ต่อมาลองเช็คค่าความสม่ำเสมอของความสว่างของจอ ดูครับ
ผมตั้งค่าความสว่างตอนแคลไว้ที่ 100

ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าเยี่ยมครับ จอมีค่าความสว่าง โดยรวมไม่เกิน 10 % สูงสุดด้านซ้ายคือ 7%

 

การต่อใช้งานกับ Notebook เป็นจอที่ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงผล

ต่อจอ SW270C เข้ากับ MBP ผ่านพอร์ต USB Type C

 จอ SW 270C นี้ มีพอร์ต USB Type C มาให้ด้วย ทำให้ไปต่อกับ Mac Book Pro รุ่นใหม่ ได้เลย

เหมาะกับคนที่ใช้ MBP มากครับ ใช้สายเส้นเดียวจบ ไม่ต้องต่อเข้า Adapter ให้วุ่นวาย

(สาย type-C เค้าไม่มีมาให้นะครับ ต้องหาซื้อเพิ่ม)

 

ตารางเปรียบเทียบจอ BenQ ซีรี่ย์ SW รุ่นต่าง ๆ

BenQ ซีรี่ย์ SW รุ่นต่าง ๆ

 

บทสรุป
 
บทสรุปหลังจากที่ได้ใช้งานจอ SW270C จริงทุกวันมากว่า 1 เดือน กว่า 200 ชั่วโมง
  • วัสดุของจอดูดี แข็งแรง ฐานและขาจอใหญ่มั่นคง จอปรับขึ้นลง และหมุนซ้าย-ขวา ได้สะดวก
  • Panel จอดี ให้สีและแสง สม่ำเสมอ ทั่วทั้งจอ
  • ภาค LUT เป็นแบบ 16 bit พัฒนาต่อจากรุุ่นก่อนที่เป็น 14 bit ทำให้การไล่โทนภาพเนียนขึ้นกว่าเดิม
  • มี Hood บังแสงอย่างดีมาให้พร้อม ไม่ต้องซื้อเพิ่ม เหมาะกับงานมืออาชีพ
  • เชื่อมต่อได้หลายแบบ ทั้ง HDMI, DP และ USB Type-C ต่อกับคอม Desktop หรือNotebook ได้หลากหลาย ทั้ง PC และ Mac
  • ราคาที่สูงกว่ารุ่นเดิม คือ SW2700PT ราคาประมาณ 2 หมื่น รุ่นนี้ SW270C ราคาไปอยู่ที่ 31,500.- (อ้างอิงจากราคาใน Lazada ) สูงกว่ารุ่นก่อน ประมาณหมื่นนึง
    ทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะเอารุ่นใหม่ที่พัฒนา การแสดงผลที่ดีขึ้น มีพอร์ต Type C เพิ่มมาให้ กับมี HDR สำหรับงานวิดีโอ กับ LUT ที่เพิ่มเป็น 16 bit ไหม
  • สุดท้าย คำถามที่ผมต้องเจอบ่อยแน่ๆ หลังจากบทความนี้ออกไป ว่าน่าซื้อไหม?
    คำตอบ : สำหรับจอมอนิเตอร์ทำรูป ขนาด 27 นิ้ว แสดงสีได้ถึง Adobe RGB ในเรทราคาสามหมื่นต้น ณ ตอนนี้ ( 12-2019) ยังไม่จอไหนดีกว่า และน่าใช้กว่าตัวนี้ครับ
เขียนที่บ้าน
สมชายการช่าง
12/12/2019

CameraEyes.net

59/154 หมู่บ้านวิสุทธาวิลล์ ซอย 18, ซอยรามอินทรา 103/1 

คันนายาว, กรุงเทพมหานคร 10230

59/154 Wisuttha Vill 18, Ram Intra 103/1 

Khan Na Yao, Bangkok 10230

Thailand

Email : somchaisuriya@gmail.com

Phone : 090 201 0095

ศิลปะการถ่ายภาพ เกิดจากจินตนาการ ความนึกคิด ผู้ถ่ายจะต้องมีทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ ในการถ่ายภาพอย่างเป็นขั้นตอน และ จะต้องเข้าใจในศิลปะอย่างแท้จริง